...

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เครื่องมือรีทัชพื้นฐาน (ตอนที่1)

ว่ากันด้วยเครื่องมือพื้นฐาน ในโปรแกรม lightroom วันนี้มาแนะนำก่อนสามอันคือ Crop overlay , spot removal และ red eye correction สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่ทราบนะครับ

แนะนำดูแบบ HD


***แถมพิเศษ เรื่องทฤษฎีการจัดองค์ประกอบแบบต่างๆ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก google
หรือไปที่บอร์ดนี้ ซึ่งสรุปได้ดี มีภาพประกอบเข้าใจง่าย ลองไปอ่านกันดูนะครับ
คลิกที่ลิงค์เลย http://topicstock.pantip.com/camera/topicstock/2012/10/O12749628/O12749628.html

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

hyperfocal distance (ตอนพิเศษ)

ในบทความนี้เป็นการพูดถึงเรื่อง hyperfocal distance ซึ่งเคยอธิบายไว้แล้วในบทความเก่าๆ แต่ครั้งนี้มาเป็นคลิปวีดีโอ เพื่อเพิ่มการอธิบายให้เข้าใจมากขึ้น 

แนะนำดูแบบ HD


สรุปเพิ่มเติมเล็กน้อยนะครับ
1.hyperfocus ไม่ได้หมายถึงการโฟกัสที่ได้ภาพชัดที่สุด แต่หมายถึงการโฟกัสที่ได้ระยะชัดกว้างที่สุด
2.hyperfocus ไม่ได้คมชัดเท่ากันทุกจุด หมายความว่า แน่นอนจุดโฟกัสต้องชัดที่สุด แต่ส่วนอื่นๆก็ชัดในแบบที่พอรับได้
3.hyperfocus เป็นการเลือกใช้ค่า F ที่พอเพียง ครอบคลุมจุดที่เราต้องการความชัด โดยไม่ใช้ F สูงเกินความจำเป็น (เมื่อ F สูงเกิน ภาพจะไม่คมชัด)
4.เรา จะเลือกใช้ hyperfocus หรือ infinity โฟกัส ก็ได้  ถ้าหากฉากหน้าที่เราต้องการให้ชัด ไม่ได้อยู่ใกล้กล้องเกิน เช่น ฉากหน้าที่เราต้องการให้ชัดนั้นอยู่ห่างจากกล้อง 3m จากในคลิป เลนส์ 18 mm F11 ได้ระยะชัดเริ่มที่ 0.33m  ส่วนถ้าหมุนไปที่ infinity จะได้ระยะชัดเริ่มที่ประมาณ 0.8-1m (ค่านี้ประมาณเอาจากสเกลบนเลนส์นะครับ) เราเลือกใช้โฟกัสแบบไหนก็ได้ภาพเหมือนกัน เพราะสิ่งที่เราต้องการให้ชัดมันอยู่ห่างตั้ง 3m
5.เลนส์ทางยาวมากๆก็ ใช้ hyperfocus ได้เหมือนกัน แต่ระยะชัดหน้าจะเริ่มไกลตัวกล้องหน่อย ก็ไม่มีผลอะไร ถ้าจุดที่เราต้องการให้เริ่มชัดมันอยู่ไกลกว่าค่าจุดที่เริ่มชัดหน้าจากการ คำนวณตามสูตร
6.ถ้าต้องการให้ช่อง view finder แสดงภาพตามค่า F ที่เราตั้งไว้  ให้กดปุ่ม PV (ปุ่มเช็คระยะชัดลึก)บนกล้อง ภาพที่มองผ่านช่องมองจะแสดงความชัดตามค่า F ที่เราตั้งไว้ (แต่แสงอาจจะมืดลง ต้องลองทำดูถึงจะรู้)

ก็คิดว่าน่าจะเข้าใจมากขึ้น แต่ถ้าอยากเห้นผลลัพธ์ ต้องออกไปลองแล้วล่ะครับ
พบกันตอนหน้า สำหรับโปรแกรม Lightroom กันต่อนะครับ

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ฝึกใช้ camera calibration

เมื่อก่อนตอนที่ผมหัดถ่ายรูปแรกๆ ผมนำไฟล์ภาพจากกล้อง(RAW) มาเปิดในคอมพิวเตอร์ ถึงกับงงเลย
ทำไมสีสัน มันไม่เหมือนตอนดูจากจอ LCD กล้อง ทำไมสีมันซีดๆ เมื่อได้ศึกษาหาคำตอบก็ค้นพบว่า
ภาพ ที่เราเห็นจากจอกล้องนั้น ได้ผ่านกระบวนการ process ตามค่า setting ต่างๆในตัวกล้อง เช่น พวก picture control / picture style เป็นต้น แต่ไฟล์ raw ที่นำมาเปิดด้วยโปรแกรม LR จะถูก process ด้วยค่า setting ของ Adobe ซึ่งแน่นอนว่าภาพที่ได้ย่อมแตกต่างกัน (แม้แต่กล้อง ของแต่ละค่ายก็มีกระบวนการ process ที่ต่างกันอีกด้วย) ดังนั้นวันนี้ ผมจึงจะมานำเสนอ การ calibration เพื่อให้ได้ภาพที่มีสีสันต่างๆ ใกล้เคียงกับภาพที่มองจากหลังกล้อง เชิญรับชมได้จากคลิปเลย...

แนะนำดูแบบ HD


****ในคลิปนี้แถมสอนการใช้งาน Sync ให้ด้วย เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนในการแต่งภาพได้มากเลยทีเดียว
****ขออภัยในคลิปพูดผิดตรงที่บอกว่าดู survey (ในคลิปเป็นมุมมอง compare)
- คีย์ลัดในการดู survey view กดปุ่ม N
- คีย์ลัดในการดู compare view กดปุ่ม C
- คีย์ลัดในการดู grid view กดปุ่ม G

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เครื่องมือ remove chromatic aberration (LR5)

รูปที่มักจะเกิด Chromatic ก็คือรูปถ่ายย้อนแสง บางรูปที่ถ่ายอาจจะเกิดมาก บางรูปก็อาจจะเกิดน้อย แต่ถ้าหากพบว่ามันเป็นส่วนเกินของภาพหรือดูแล้วรู้สึกขัดตา เราก็จะต้อง Remove มันออกไป มาดูการกำจัดขอบม่วงโดยใช้โปรแกรม LR กันดีกว่า

(แนะนำดูแบบ HD)


****เพิ่มเติมจากในคลิปนะครับ
ข้อควรระวังในการปรับลด chromatic  หากวัตถุอื่นๆที่มีสีใกล้เคียงกับขอบม่วง/ขอบเขียว ถ้าเราดึงแถบลดสีม่วง/เขียว มากเกินไป บริเวณที่ว่านี้จะถูกดูดสีออกไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็น ไม่ควรดึงแถบม่วงและแถบเขียวจนสุดนะครับ

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

จัดการสัดส่วนที่ผิดเพี้ยน

ส่วนที่เราต้องเรียนรู้ต่อจาก Histogram ก็คือ พาแนล Lens Corrections เป็นส่วนที่เอาไว้ปรับแก้ความบิดเบี้ยวของตัวเลนส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายภาพสถาปัตยกรรม ที่ต้องการสัดส่วนที่ตรงความเป็นจริง ควรมีส่วนบิดเบี้ยวที่เกิดจากเลนส์น้อยที่สุด (Distortion น้อย) ซึ่งเลนส์ดีๆแบบนี้ ราคาแพงมาก เพราะฉะนั้นผมจึงต้องพึ่ง LR เพื่อลดต้นทุนค่าอุปกรณ์ ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง... แต่ถ้าท่านอยากได้ความเบี้ยวที่เป็นธรรมชาติจากตัวเลนส์ ท่านสามารถข้ามบทเรียนนี้ไปได้เลย...หรือจะเรียนรู้ไว้ก็ไม่เสียหายนะ

อันดับแรก เปิดโปรแกรม LR แล้ว Import รูปที่บิดเบี้ยวจากตัวเลนส์ มาสักรูปครับ(ชนิดไฟล์ Raw นะครับ) จากนั้นไปที่แท็บ Develop แล้วลองเลื่อนหาดูพาแนล Lens Corrections (ตามรูปด้านล่าง)


เห็นความเบี้ยวในภาพแล้วใช่ไหม..ต่อไปเรามาดูเครื่องมือดีกว่า ตอนนี้จะขอกล่าวถึงแท็บในพาเนล Lens Corrections สามอันก่อน คือ Basic , profile , manual


 1.แท็บ Basic  ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าพื้นฐาน  เป็นการปรับแต่งค่าเบื้องต้น ประกอบด้วย
- Enable Profile Corrections ติ๊กเพื่อเปิดการใช้งานในส่วนของแท็บ Profile 
- Remove Chromatic Aberration ติ๊กเพื่อเปิดการใช้งานในส่วนแท็บ Color (จะกล่าวในบทต่อไป)
- Constrain Crop ตัดส่วนเกินทิ้ง เอาเฉพาะพื้นที่ภาพ (เดี่ยวมีตัวอย่างให้ดู)
ปุ่มด้านล่างอีก 5 ปุ่ม คือ
- Auto ใช้ปรับความเบี้ยวแบบอัตโนมัติ โดยให้โปรแกรม LR จัดการให้
- Off  ปิดการใช้งานปุ่ม Auto (เมื่อเข้ามาทุกครั้งจะเป็น Off เสมอ)
- Level จัดการปรับระดับความเบี้ยวในแนวนอน อัตโนมัติ
- Vertical จัดการปรับระดับความเบี้ยวในแนวดิ่ง อัตโนมัติ
- Full จัดการภาพให้เป็น Perspective (ภาพที่มีจุดรวมสายตาอยู่จุดใดจุดหนึ่ง อยากทราบเพิ่มเติมหาได้ใน Google ครับ)  

2. แท็บ Profile เป็นส่วนที่ LR ได้เก็บค่าความบิดเบี้ยวของภาพ ที่เกิดจากกล้องและเลนส์แต่ละโมเดลไว้  เพื่อเป็นการอ้างอิง แล้วปรับความเบี้ยวให้ลดลงโดยอัตโนมัติ 
- Setup เราจะกำหนดเป็น Auto หรือ Default ก็ได้ โปรแกรมจะไปเลือก model กล้องให้ตามค่าที่บันทึกมาในไฟล์ Raw (ถ้าเป็นไฟล์ jpeg โปรแกรมจะไม่รู้ว่าเราใช้กล้องและเลนส์ตัวไหนถ่ายมา)
- Lens Profile คงไม่ต้องบอกว่าคืออะไร ตัวนี้โปรแกรมเลือกให้อัตโนมัติอยู่แล้ว ไม่ต้องไป custom นะครับ เพราะค่าที่ดีที่สุดก็คือ เลือก Model ตรงกับกล้องและเลนส์ที่เราใช้ถ่ายมานั่นแหละครับ
- Amount ส่วนที่ใช้ปรับแต่งเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ถ้าเรายังไม่พอใจกับการจัดการอัตโนมัติของ LR ตรงนี้มีให้ปรับสองอันคือ Distortion (ความป่องตรงกลางภาพ) และ Vignetting (ขอบดำ/ขาว)


3. หากเรายังไม่พอใจกับการจัดการอัตโนมัติ  สามารถปรับทั้งหมดเองได้ ที่แท็บ Manual 
รายละเอียดดังนี้
- Distortion  ใช้เพิ่มความป่องบวม หรือจะลดลงจนยุบก็ได้ 
- Vertical  ใช้บิดภาพในแนวตั้ง บิดขึ้นหรือบิดลง
- Horizontal ใช้บิดภาพแนวนอน บิดซ้ายหรือบิดขวา
- Rotate  ใช้หมุนองศาภาพ เอียงซ้ายหรือเอียงขวา
- Scale ใช้ย่อหรือขยาย  ซูมเข้าหรือซูมออก
- Aspect ใช้ยืดภาพออก ยืดในแนวนอน หรือ ยืดในแนวตั้ง
- Constrain Crop ที่ติดค้างไว้เมื่อกี้ (ใช้งานเหมือนกับในแท็บ Basic) ดูได้จากภาพด้านล่าง 



- ในส่วน Lens Vignetting มีสองค่าให้ปรับ คือ Amount (ใช้เพิ่ม/ลดแสงบริเวณขอบภาพ) และ Midpoint (คงสภาพแสงจากจุดกลางภาพ  ต้องการบริเวณกว้างหรือแคบ เพื่อไม่ให้แสงที่เราปรับเพิ่ม/ลด ในส่วน Amount เข้ามารบกวน) สังเกตุ ถ้า midpoint ค่ามากขอบวิกเน็ทจะชัดเจน  ถ้าค่า midpoint น้อย  ขอบวิกเน็ทจะเกลี่ยให้เนียนยิ่งขึ้น แต่แสงจะกินเข้ามากลางภาพเยอะด้วย

มาดูผลลัพธ์สุดท้ายของการปรับลดความบิดเบี้ยวในภาพตัวอย่างนี้


****แนะนำพิเศษ  การปรับลดความบิดเบี้ยวบางครั้งจะต้องมีส่วนที่โดน Crop ทิ้ง เพราะฉะนั้นเวลาที่ถ่ายภาพมา ควรจัดองค์ประกอบ แล้วเหลือที่สำหรับการตัดทิ้งนี้ด้วย

ลองไปฝึกกันดูนะครับ สำหรับตอนนี้ก็คงจบเพียงเท่านี้ ครั้งหน้าจะมาพูดต่อในส่วนที่ติดค้างอีกที่
ก็คือ Remove Chromatic Aberration....

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิเคราะห์ภาพ ด้วย Histogram

histigram คือ กราฟที่จะช่วยบอกค่าต่างๆในรูปรูปหนึ่งว่า ในรูปนั้นมีปริมาณส่วนที่มืด ส่วนที่พอดีหรือส่วนที่สว่าง มากแค่ไหน นอกจากนี้ยังบอกค่าของเม็ดสี (RGB) ในแต่ละจุดบนภาพของเราด้วย การถ่ายภาพให้ได้ระดับแสงที่ดีนั้น ย่อมนำมาต่อยอดในการแต่งภาพได้ดีกว่า ในกล้องสมัยนี้ จะมี Histogram บอกให้เราทราบทันทีหลังจากที่เรากดชัตเตอร์ เดี๋ยวเราจะมาเรียนรู้ว่า ภาพที่ดีนั้น ควรมีกราฟลักษณะใด มารู้จักพาแนล Histogram ใน LR กันเลย

หลังจากเปิดโปรแกรมแล้ว ลอง import ภาพเข้ามาสักภาพครับแล้วไปเลือกที่แท็บ Develop


พาแนล Histogram จะอยู่ขวามือบนนะครับ มาดูองค์ประกอบรวมของพาแนลก่อน

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgRFF3Fjth2aGUuo7mf_C-7nII-f1eVk8JixmMQrvXRKoMPAGMyp7tBBjSH-GIT6Zl_3qhrTWnrin_DhJ12cj80cKeXYRMW6BEtXb147L1EHTFTK03dnJSk-_RsgeL6ELSyiJfsAT2fP34/s1600/histogram1.jpg 
 จากภาพด้านบน จุดสูงสุดของกราฟอยู่ที่โซน Blacks แสดงว่าภาพนี้ พื้นที่แสงส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มมืด
การอ่านกราฟก็เหมือนทั่วไป แกนแนวนอนเรียงจากมืดไปหาสว่าง(ซ้ายไปขวา) แกนแนวตั้งบอกปริมาณจากน้อยไปหามาก(ล่างขึ้นบน)

มาดูรูปที่ 1 สมมติว่าถ่ายมาได้แบบนี้จากตัวกล้องเลย (อันนี้ผมดึง Exprosure ลงนะครับ เพื่อทำเป็นภาพตัวอย่าง)

1. Shadows clipping คือ ส่วนที่มืดมาก จนเส้นกราฟล้นไปทางซ้ายมือ ถ้าถ่ายภาพมาได้แบบนี้ ส่วนที่ถูก Clipping ตัดออกไป จะไม่สามารถดึงรายละเอียดกลับมาได้เลย คือมืดจนจมไปเลย หากเราดูด้วยตาจะเห็นว่ามีพื้นที่ที่เป็นสีดำมากมาย แต่ไม่โดนไฮไลท์สีน้ำเงิน แสดงว่าจุดนั้นยังสามาถดึงรายละเอียดกลับมาได้ไม่มากก็น้อย

รูปที่ 2 ครับ สมมติปรับค่ากล้องแล้วถ่ายใหม ได้ภาพสว่างแบบข้างล่างนี้


2. Hightlight Clipping คือ ส่วนที่สว่างมาก จนเส้นกราฟล้นไปทางขวามือ เช่นเดียวกันส่วนที่สว่างจนถูกตัดทิ้ง จะไม่สามารถดึงรายละเอียดกลับมาได้เลย คือสว่างจนเป็นสีขาวไปเลย สังเกตุด้วยตายังมีพื้นที่สีขาวอีกเยอะ แต่ไม่โดนไฮไลท์สีแดง แสดงว่ายังดึงกลับมาได้ไม่มากก็น้อย 

รูปที่ 3 ผมปรับกล้องแล้วถ่ายใหม่อีกครั้ง ได้รูปแบบข้างล่างนี้


3. เมื่อคลิกทั้ง Shadows clipping และ Hightlight clipping แล้วไม่มีจุดไฮไลท์สีน้ำเงินและสีแดง นั่นแสดงว่าภาพที่เราถ่ายมานั้น เก็บรายละเอียดได้ครอบคลุมทั้งหมด สามารถนำมาดึง Exprosure ได้ (ดึงเพิ่ม/ลดแสง) สังเกตุว่าเส้นกราฟจะไม่ล้นขอบด้านขวาและด้านซ้าย ไม่มีส่วนที่ถูก Clipping ออก

***เพราะฉะนั้น เมื่อท่านกดชัตเตอร์ไปแล้ว ควรที่จะดู Histogram บนกล้องด้วยว่ามีส่วนล้นขอบหรือไม่ ถ้ามีส่วนล้น ควรถ่ายใหม่เลยครับ เพื่อให้ได้ภาพที่สามารถนำมาต่อยอดในการแต่งภาพได้ดี

นอกจากนี้ Histogram ของ LR ยังสามารถช่วยให้เราปรับแสงเบื้องต้นได้ด้วย โดยการคลิกเมาส์ค้างไว้ในโซนที่เราต้องการปรับ (Blacks Shadows Exprosure hightlights whites) แล้วลากเมาส์ไปทางซ้ายหากต้องการลดแสงในโซนนั้นลง หรือ ลากเมาส์ไปทางขวา เมื่อต้องการเพิ่มแสงให้โซนนั้น เส้นกราฟในโซนจะย้ายตามทิศทางการลากเมาส์ของเรา ดูรูปประกอบด้านล่าง



การปรับค่าในแต่ละโซนจะสามารถปรับได้สูงสุด +100 และ ลดต่ำสุดได้ -100
***แนะนำพิเศษ โดยทั่วไปการปรับค่าของผม จะไม่ใช้ + หรือ - เกิน 20  จะเลือกปรับโซนละนิดหน่อย เพราะหากปรับมากไปทำให้ภาพสูญเสียคุณภาพ(เมื่อซูมดู 100%) จะปรับเกินนี้ก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือกแล้ว นอกจากนี้การปรับค่าผมยังรักษาสมดุลด้วยเช่น เมื่อ whites -20  ก็ควรไปดัน Blacks +20  (ผิดหรือถูกหลักไม่รู้ อันนี้ประสบการณ์ผมล้วนๆ) ดูได้จากรูปด้านล่างนี้


 สรุปบทนี้ ... การถ่ายภาพให้ได้ภาพที่ดีมีคุณภาพนั้น จะต้องพึ่ง Histrogram ซึ่งเป็นเหมือนเข็มทิศของนักถ่ายภาพเลย (การดูภาพด้วยตาจากจอ LCD บนกล้องอาจไม่เพียงพอ) การได้ภาพที่ดีเป็นต้นทุน ทำให้นำไปปรับแต่งได้ โดยไม่เสียคุณภาพหรือเสียไปน้อยมาก อ้อ..ลืมแนะนำว่า ภาพที่จะนำมาปรับแต่งนั้น ควรเลือกใช้ไฟล์ RAW เนื่องจากมีการเก็บค่าความลึกของสีมากกว่าไฟล์แบบ JPEG ลึกแล้วดีกว่ายังไง>> สามารถขุดได้เยอะกว่าไงครับ อิอิ

...ติดตาม..ตอนต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การ import รูปเข้า library

ประโยชน์ของการแต่งรูป ในความเห็นของผม คือ
1.ลดต้นทุนค่าอุปกรณ์ เช่น การใช้เจลสีครอบหัวแฟลช เราสามารถมาปรับแต่งสีในโปรแกรมได้ ถ้าเราไม่มีอุปกรณ์ หรือ การใช้ฟิวเตอร์การ์เดียน ถ้าเราไม่มีอุปกรณ์ ในโปรแกรมก็มีคำสั่งช่วยเราได้ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ภาพที่ได้จากโปรแกรม ก็ไม่มีทางทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนการใช้อุปกรณ์จริง โปรแกรมใช้ทดแทนได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
2. ช่วยในการปรับแต่งส่วนที่เราไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแสง สี วัตถุส่วนเกินในภาพ ฯลฯ ในส่วนนี้แล้วแต่ความชอบของบุคคล บางท่านอาจต้องการภาพแบบ Real จริงๆ แต่ผมมักจะต้องการภาพที่เป็น Art มากกว่า Real

ทั้งนี้ การแต่งภาพ ไม่ควรจะให้เกินความเป็นจริงมากไป ควรให้มีความเป็นธรรมชาติให้มาก ยกเว้นว่าท่านจะแต่งภาพในแนวทางเฉพาะด้าน เช่น การใส่ visual effect การรีทัชภาพ เพื่อการโฆษณา ฯลฯ

มาว่ากันเรื่องโปรแกรมดีกว่า อันดับแรกสุดในขั้นตอนการแต่งรูปด้วย Lightroom คือการนำรูปเข้ามาอยู่ในคลังภาพของ LR
คอนเซ็ปของ LR คือ จะไม่ทำการใดๆกับไฟล์ต้นฉบับ เพียงแต่จำลองไฟล์มาให้เราปรับแต่งเท่านั้น แล้ว Export ไฟล์ออกมาอีกที การจำลองไฟล์จากต้นฉบับก็คือการ Import นั่นเอง
โดยไปที่เมนู File > Import photos & videos แล้วเราก็จะเจอกับหน้าต่างลักษณะเช่นนี้ครับ

เริ่มแรกท่านจะงงมาก ว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนที่ผมจะอธิบายต่อไป ให้ท่านมองภาพด้านบนนี่เป็นสามส่วน (สามคอลัมน์) ซ้ายมือจะเป็นแหล่งไฟล์ต้นทาง  ตรงกลางจะเป็นส่วนแสดงภาพไฟล์ที่เราเลือกจากแหล่งต้นทาง และขวามือ เป็นแหล่งเก็บภาพปลายทาง ... เมื่อมองภาพออกแล้ว เอาล่ะมาฟังอธิบายต่อ

1.1. อันดับแรก ให้เลือกไดร์ฟ/โฟลเดอร์ ที่มีรูปอยู่ ทางคอลัมน์ซ้ายที่ด้านบนระบุว่า "Select a source" ครับ ถ้าเสียบเคเบิ้ลจากกล้อง ตรงบริเวณ Source ก็จะมีไดร์ฟของกล้องโผล่ขึ้นมา คลิ้กเลือกเลยครับ โดยมากแล้วมักจะมีโฟลเดอร์ DCIM อยู่ ก็คลิ้กไปจนบริเวณตรงกลางของหน้าต่างนี้ ปรากฏภาพครับ
1.2. อันดับต่อมา ก็คัดเลือกภาพที่ต้องการจะนำลงคลังภาพ โดยติ๊กเอาเลยครับว่าต้องการภาพไหนบ้าง ถ้าจะเอาทั้งหมดก็คลิ้กปุ่ม Check All ด้านล่าง (หรือถ้ามีรูปเยอะ แต่ต้องการเลือกแค่สองสามรูป ก็ให้ Uncheck All แล้วค่อยติ๊กรูปที่ต้องการ) ทีนี้ให้สังเกตคอลัมน์กลางด้านบนนะครับว่าเลือกโหมดไหนอยู่

- Copy as DNG อันนี้จะ convert ไฟล์ภาพไปเป็นสกุล DNG ของ Adobe ก่อนที่จะก็อปปี้ลงคลัง อันนี้ถ้ามีหลายร้อยรูปก็คงจะรอนาน (ไม่แนะนำเท่าไหร่  เพราะอาจจะไม่ทันใจ)
- Copy อันนี้จะชัวร์กว่า Move  เพราะหากเป็นกรณีดูดรูปจากกล้องเพื่อน รูปในกล้อง(ต้นฉบับ)ก็จะยังคงอยู่หลัง import เสร็จ
- Move จะทำการย้ายรูปจากไดร์ฟหรือโฟลเดอร์ภาพมาไว้ในที่ที่เราระบุไว้เลย หลังจาก import แล้ว ภาพจากโฟลเดอร์นั้น(ต้นฉบับ) ก็จะถูกลบไป อันนี้จะเหมาะสำหรับดูดรูปจากกล้องเราเอง เพราะเสร็จแล้ว จะได้ไม่ต้องมาตามลบรูปในการ์ดอีกทีนึง (แต่ผมไม่ใช้โหมดนี้ มันเสี่ยงตรงที่ต้นฉบับลบออกจากการ์ด เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันจะได้มี backup)
- Add อันนี้กรณีที่เราไม่ต้องการย้ายตำแหน่งรูปใดๆ เพียงแค่ต้องการเพิ่มรูปเข้ามาในคลังภาพเท่านั้น (เหมาะสำหรับกรณีที่เรามีระบบจัดเก็บ จำแนกประเภทรูปด้วยตัวเอง) กรณีนี้ถ้าโฟลเดอร์ที่มีรูปอยู่เปลี่ยนชื่อ หรือย้ายตำแหน่ง LR จะงงว่าภาพหายไปไหน ต้องมา locate อีกทีนึง คล้ายๆว่าลิงค์กับไฟล์ต้นฉบับตลอดเวลา

1.3. อันดับสุดท้ายคือระบุว่าจะให้เอารูปพวกนี้ไปไว้ไหน ตรงนี้มีออฟชั่นให้เลือกดังนี้ครับ
- File Handling: ในเวอร์ชั่น 5 นี้มีฟังก์ชั่น Smart Preview ทำให้เราสามารถทำงานแต่งภาพเมื่อไหร่ก็ได้ แม้ว่าไฟล์ต้นฉบับ (ที่อาจจะอยู่ใน external drive) อาจจะลืมอยู่บ้าน อันนี้สะดวกมากครับ สำหรับผู้ที่แต่งภาพด้วยโน้ตบุ้คแล้วเก็บรูปเอาไว้ในไดร์ฟแยกต่างหาก โดย LR จะสร้างภาพขนาดย่อไว้พอให้เราสามารถแต่งภาพได้ตามใจ เมื่อเราเอาไดร์ฟมาเสียบทีหลัง ค่าที่ปรับตั้งต่างๆ ก็จะซิงค์กับรูปต้นฉบับเองโดยอัตโนมัติ แนะนำให้ใช้ครับ สะดวกจริงๆ (กรณีที่ถ้ารูปทั้งหมดของคุณอยู่ในเครื่องอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องใช้นะครับ เปลืองพื้นที่เครื่องเปล่าๆ)
- File Renaming: ถ้าต้องการเปลี่ยนชื่อก่อนลงรูป (เช่นว่าตั้งชื่อเป็นสถานที่ที่ไป) ก็ไปตรงนี้ ติ๊ก Rename Files แล้วเลือก Template เป็น Custom Name - Sequence ทีนี้ก็ใส่ชื่อตรงช่อง Custom Text ก็จะได้ว่า London-1.jpg, London-2.jpg เรียงกันไป เป็นต้น
- Apply During Import: อันนี้หากต้องการปรับตั้งค่ามาตรฐานก่อนจะเอารูปลงคลังภาพเลย (สมมติมีพรีเซ็ตมาตรฐานอยู่แล้ว) ก็เลือก Develop settings ได้เลย (ปกติผมไม่ได้ใช้ครับ อันนี้) และหากต้องการระบุ keywords ให้กับภาพ ก็กรอกตรงช่องได้เลยครับ เว้นคีย์เวิร์ดด้วยคอมม่า วันหลังเราเสิร์ชจะได้หาง่ายๆ หน่อย เช่นว่า ไปเที่ยว, ปีใหม่2558, งานแต่ง เป็นต้น ถ้ามีเวลาก็กรอกได้ครับ ถ้าไม่มี ก็ไม่จำเป็นแต่อย่างใด
- Destination: ตรงนี้ ก็ระบุไปว่าจะให้รูปเหล่านี้ไปไว้ที่ไหน โดยปกติแล้วจะเลือกให้ LR จัดการใส่เรียงตามวันที่ เพราะฉะนั้นก็ติ๊กที่ Into Subfolder แล้วตรง Organize ก็เลือก By Date เอาครับ (หากใช้โหมด Add จะไม่มีพาแนลส่วน Destination)





***ส่วนตัวผมใช้โหมด Add เพราะว่าเลือกรูปที่จะแต่งเข้ามาทีละไม่เกิน 5 รูป เลือกเยอะเครื่องผมช้าครับแล้วแต่งภาพเสร็จผมก็ remove ออกจาก libraly เลย จะทำงานครั้งหน้าก็เลือกใหม่ อิอิ ทนเอาเครื่องมันช้า อีกอย่างผมไม่ซีเรียสเรื่องสำรองข้อมูล ไม่จำเป็นต้องใช้โหมด copy มาอีกที


สรุปง่ายๆ หลักๆ ในขั้นตอนนี้ ก็คือ เลือกโฟลเดอร์ภาพ, เลือกภาพ, ระบุโฟลเดอร์ที่จะให้รูปไปลง เท่านั้นเอง ซึ่งขั้นตอนระบุโฟลเดอร์อันสุดท้ายนี้ ถ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เราก็ตั้งแค่ตอนแรกครั้งเดียวครับ วันหลังๆเปิดโปรแกรมใหม่ ตรงนี้ก็จะเหมือนเดิม ไม่ต้องเลือกใหม่ทุกครั้ง

ติดตามบทต่อไปครับ..ว่าด้วยการอ่านค่า Histogram

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รู้จักกับโปรแกรม Adobe Lightroom

ทุกคนในวงการถ่ายภาพคงรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี บางคนก็เรียกสั้นๆว่า โปรแกรม Lightroom หรือเรียกชื่อย่อกันว่า LR นั่นเอง เนื่องจากมีพี่น้องหลายท่านเรียกร้องมาให้ผมช่วยสอนการใช้งานโปรแกรม LR ซึ่งผมต้องขอออกตัวเลยว่า ผมไม่ได้เก่งหรือรู้ไปทุกอย่างเกี่ยวกับ LR ฉะนั้นสิ่งที่ผมจะสอนต่อไปนี้ เป็นเพียงความรู้ที่ผมศึกษามาด้วยตัวเอง โดยการหาข้อมูลจากที่ต่างๆ แล้วมาลองปฏิบัติ บางครั้งผมอาจจะต้องคัดลอกบทความจากที่อื่นมาบ้าง หรือ copy รูปจากที่อื่นบ้าง เพื่อให้สะดวกในการอธิบายบทเรียนต่างๆ แต่ทุกครั้งผมจะให้เครดิตเจ้าของเสมอครับ

มาเข้าเรื่องดีกว่า วันนี้เป็นบทนำก่อน มารู้จัก LR กันเลย
LR เป็นโปรแกรมจัดการภาพถ่ายสำหรับช่างภาพเพื่อใช้จัดการ ภาพถ่ายปริมาณมากๆ และใช้จัดการไฟล์ RAW (สนับสนุนถึง 150 formats) คำสั่งที่ใช้ในการแต่งรูปถึงจะมีไม่มากเท่ากับโปรแกรม Photoshop แต่ก็ครอบคลุมกับการแต่งรูปพื้นฐาน ดังนั้นจึงใช้โปรแกรม Lightroom ทำ Retouch ไม่ได้ แต่สามารถใช้แต่งรูปขั้นพื้นฐานก่อนแล้วจึงโอนไปทำ Retouch ต่อใน Photoshop ได้

ผมจะอ้างอิงจาก Lightroom 5.4 นะครับ ท่านใดมีเวอร์ชั่นใหม่ อาจจะมีเมนูใหม่ๆเพิ่มมา แต่แค่นี้ผมก็ยังไม่ทราบทุกเมนูเลย เปิดโปรแกรมมาจะมีส่วนสำคัญอยู่ดังนี้ 

 

แท็บด้านบนขวามือ ประกอบด้วย
1.Library เอาไว้จัดการหมวดหมู่รูปให้เป็นระบบ รวมไปถึงเรื่องของการปรับแต่งภาพเบื้องต้นด้วย
2.Develop เป็นส่วนสำหรับตกแต่งภาพอย่างละเอียด
3.Map เป็นส่วนของการกำหนดจุดพิกัดของการถ่ายภาพ
4.Book การจัดทำหนังสือ หรือสมุดภาพ หลังจากที่เราแต่งภาพเสร็จแล้ว สามารถนำภาพมาทำเป็นหนังสือ หรือสมุดภาพได้เลย
5.SlideShow คือส่วนที่นำเอาภาพมาสร้างเป็น Slideshow 
6.Print ส่วนใช้สำหรับจัดการและกำหนดรูปแบบของการพิมพ์ภาพแบบต่างๆ
7.Web เป็นส่วนที่สำหรับนำภาพมาสร้างเป็นเว็บแกลอรี่แล้วสามารถนำไปอัพขึ้น Server ได้เลย

แท็บที่ต้องใช้ในการแต่งรูปก็คือ Develop ให้ลองคลิกดู จะเห็นว่าพาแนลของ LR จะเปลี่ยนไป


ในแท็บ Develop มีพาแนลพื้นฐาน 6 ส่วน คือ
- ซ้ายบน Navigator เป็นพื้นที่สำหรับควบคุมการย่อภาพหรือขยายภาพขณะแต่งภาพ สามารถเลือกระดับการซูมได้หลายระดับเลยทีเดียว (เช่น Fit , Fill , 1:1 , 3:1 ฯลฯ)
- ซ้ายล่าง เป็นพาเนลที่ปรับเปลี่ยนไปตามการเลือกโหมดของเรา ที่เราเลือกทำงาน เช่นถ้าเราเลือกเป็น Develop ก็จะแสดงส่วนช่วยในการแต่งภาพ จำพวก Preset ลักษณะการใช้งานเหมือนกับ Action ใน Photoshop  เพื่อให้เราแต่งภาพได้รวดเร็วกว่าเติม เพียงแค่คลิกเดียว
- ขวาบน Histogram เป็นกราฟบอกปริมาณเม็ดสีต่างๆในภาพ รวมถึงแสง ส่วนมืด ส่วนกลาง ส่วนสว่าง
- ล่างขวา  ส่วนนี้เป็นพาเนลสำหรับการแต่งภาพครับ โดยพื้นที่ส่วนนี้จะใช้งานกับภาพที่เลือกอยู่ในขณะนั้น โดยคำสั่งทั้งหมดจะเปลี่ยนไปตามการทำงาน (เช่น หากเราเลือกทำงานในโหมด Develop คำสั่งบนพาเนลก็จะเปลี่ยนมาเป็นคำสั่งสำหรับการตกแต่งภาพเท่านั้น)
- ด้านล่างสุด  ส่วนนี้เรียกว่า Filmstrips คือพื้นที่แสดงภาพทั้งหมดที่เรา Import เข้ามาจาก Folder ถ้าเราต้องการแต่งภาพไหน ก็เพียงกดเลือกที่ภาพนั้นครับ
- ตรงกลาง เป็นส่วนที่แสดงภาพที่เราเลือกมาแต่งหรือมาทำงานนั่นเอง

ก่อนเราจะไปเรียนรู้การแต่งภาพ เราต้องเริ่มเรียนรู้ จากการจัดการแฟ้มภาพก่อน ซึ่งในบทต่อไปจะพาไปรู้จักวิธีการ Import ภาพเข้ามา เจ้าโปรแกรม LR จะมีการนำเข้าภาพหลายรูปแบบ ซึ่งมีความสะดวกต่างกันแล้วแต่ลักษณะการทำงานของแต่ละคน

ติดตามได้ในบทต่อไปนะครับ..